27/12/54

แผลกดทับ Bed Sore

การดูแลผู้ป่วยและป้องกันการเกิดแผลกดทับ 

            แผลกดทับเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหว ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เอง ผิวหนังถูกกดทับเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงผิวหนังที่ถูกกดทับได้อย่างสะดวก ส่งผลให้ผิวหนังมีลักษณะเป็นรอยแดงและมีการแตกทำลายของผิวหนัง ถ้าไม่ได้รับการป้องกันดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มแรกก็จะส่งผลให้เกิดแผลกดทับตามมาได้ ซึ่งการเกิดแผลกดทับจะส่งผลให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน จากการรักษาที่ยุ่งยาก เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อทางด้านจิตใจของผู้ป่วยด้วย  
   
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดแผลกดทับเกิดได้จาก 2 ปัจจัย คือ

1. ปัจจัยภายใน  สภาพอายุที่มากขึ้นชั้นไขมันใต้ผิวหนังบางลง ผิวหนังเปราะบาง ฉีกขาดได้ง่าย ผู้ป่วยที่บกพร่องในการเคลื่อนย้าย เช่นผู้ป่วยอัมพาต ผู้ป่วยอ้วนเนื้อเยื่อชั้นไขมันมากทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี ผู้ป่วยผอมทำให้เกิดแรงกดของเนื้อเยื่อบริเวณปุ่มกระดูกมากขึ้น การขาดสารอาหารโดยเฉพาะโปรตีน ภาวะโรคเดิมของผู้ป่วย เช่น เบาหวาน ไตวาย มะเร็ง เป็นต้น

2. ปัจจัยภายนอก แรงกดจะขัดขวางออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ ถ้าผู้ป่วยไม่มีการเคลื่อนไหวจะมีผลให้เนื้อเยื่อขาดเลือดไปเลี้ยงโดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูกต่างๆ จะเกิดแรงกดมากขึ้น แรงเลื่อนไหลหรือแรงเฉือน เป็นแรงที่ผู้ป่วยนั่งหรือนอน เลื่อนไหลตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้การไหลเวียนของเลือดบริเวณนั้นเสียไป  แรงเสียดทานเป็นแรงที่เกิดจากผู้ป่วยสัมผัสกับพื้นผิวด้านนอกเกิดการถลอกของผิวหนัง เช่นการเลื่อนผู้ป่วย โดยการดึงลากทำให้ผิวหนังถลอกเป็นแผล ความเปียกชื้นของเหงื่อ ปัสสาวะ อุจจาระทำให้ผิวหนังเปื่อยได้ง่าย


บริเวณที่อาจเกิดแผลกดทับ


การป้องกันและการดูแลแผลกดทับ

การจัดท่านอน  ควรเปลี่ยนท่านอนอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อให้ส่วนใดส่วนหนึ่งไม่รับแรงกดนานเกินไป ถ้าเปลี่ยนท่านอนแล้วรอยแดงบริเวณผิวหนังไม่หายภายใน 30 นาทีอาจจะพิจารณาให้เปลี่ยนท่านอนได้บ่อยขึ้น โดยมีการหมุนเวียนเปลี่ยนท่านอน เช่น นอนหงาย นอนตะแคงซ้าย นอนตะแคงขวา สลับกัน
  การนอนตะแคง ควรจัดให้นอนตะแคง กึ่งหงาย ใช้หมอนยาวรับตลอดแนวลำตัว รวมทั้งบริเวณข้อเข่า ข้อเท้า ควรทำให้สะโพก ทำมุม 30 องศา และใช้หมอนรองตามปุ่มกระดูก และใบหู
    การนอนหงาย ควรมีหมอนสอดคั่นระหว่างหัวเข่า ตาตุ่มทั้ง 2 ข้าง ขา 2 ข้าง และรองใต้น่องและขาเพื่อให้เท้าลอยพ้นพื้นไม่กดที่นอน  การจัดท่านอนศีรษะสูงไม่เกิน 30 องศา แต่ถ้าจำเป็นศีรษะสูงเพื่อให้อาหาร หลังจากให้อาหาร 30 นาที – 1 ชั่วโมง ควรลดระดับลงเหลือ 30 องศา กรณีที่นั่งรถเข็น ควรให้มีเบาะรองก้น และกระตุ้นให้เปลี่ยนถ่ายน้ำหนักตัว หรือยกก้นลอยพ้นพื้นที่นั่งทุก 30 นาที

การใช้อุปกรณ์ลดแรงกด    อุปกรณ์ลดแรงกดอยู่กับที่ เช่น ที่นอนที่ทำจาก เจล โฟม ลม น้ำ หมอน เป็นต้น     อุปกรณ์ลดแรงกดสลับไปมา เช่น ที่นอนลม ไฟฟ้า


การดูแลผิวหนัง ผู้ป่วยที่มีผิวหนังแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่น หลังทำความสะอาดร่างกายควรทาโลชั่น 3-4 ครั้ง / วัน เพื่อป้องกันผิวหนังแตกแห้ง ผู้ป่วยที่ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ควรทำความสะอาดทุกครั้ง ที่มีการขับถ่าย และซับให้แห้งอย่างเบามือ ทาวาสลีน หรือ Zinc paste ให้หนาบริเวณผิวหนังรอบๆทวารหนัก แก้มก้นทั้ง 2 ข้าง เพื่อป้องกันผิวหนังเปียกชื้น ส่งเสริมการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยการออกกำลังกาย    ระวังอุบัติเหตุที่เกิดกับผิวหนัง เช่น การกระแทก ของมีคม เป็นต้น
    จัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อไม่ให้ผิวหนังอับชื้น หลีกเลี่ยงการนวดปุ่มกระดูกโดยเฉพาะที่มีรอยแดง จะทำให้การไหลเวียนลดลง  หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนประคบบริเวณผิวหนังที่มีความรู้สึกน้อย หรืออ่อนแรง  ดูแลผ้าปูที่นอนให้สะอาดแห้ง และเรียบตึงเสมอ เพื่อลดความเปียกชื้นและลดแรงเสียดทาน จัดเสื้อผ้าให้เรียบ หลีกเลี่ยงการนอนทับตะเข็บเสื้อ และปมผูกต่างๆเพื่อลดแรงกดบริเวณผิวหนัง  ไม่นวดหรือใช้ความร้อนประคบหรือใช้สบู่กับผิวหนังที่มีรอยแดง  ไม่ใช้ห่วงยางเป่าลมรองบริเวณปุ่มกระดูกเพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงได้ไม่ดีทำให้เกิดแผลได้ และไม่ควรใช้ถุงมือใส่น้ำรองบริเวณปุ่มกระดูก เพราะอาจแพ้ยางได้

การเคลื่อนย้าย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยควรใช้แรงยกไม่ควรใช้วิธีลาก ไม่ควรเคลื่อนย้ายตามลำพังถ้าผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ขณะเคลื่อนย้ายโดยการใช้รถเข็น ควรสวมรองเท้าหุ้มส้นทุกครั้ง และรัดสายรัดกันเท้าตกเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุขณะเคลื่อนย้าย ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไม่ควรอยู่ในท่านั่งนานเกิน 1 ชั่วโมง

ภาวะโภชนาการ   ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อยหรือรับประทานอาหารไม่ได้เลยควรพิจารณาใส่สายยางให้อาหาร ควรเพิ่มอาหารประเภทโปรตีนเพื่อส่งเสริมการหายของแผล เช่น นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ วิตามินซี เช่น ส้ม ผัก ผลไม้สด มีผลต่อการหายของแผล ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน และป้องกันการทำลายเนื้อเยื่อ วิตามินเอได้แก่ นม ไข่ ผักคะน้า ผักใบเขียว เป็นต้น ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สังกะสี เช่น หอยแมลงภู่ เมล็ดทานตะวัน ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน สร้างคอลลาเจน

ระดับแผลกดทับและการดูแลแผล

ระดับ 1 ผิวหนังไม่มีการฉีกขาด แต่เป็นรอยแดงกดบริเวณรอยแดงไม่จางหายภายใน 30 นาที ดูแลโดยมีการป้องกันแรงเสียดทานแรงกดทับโดยใช้อุปกรณ์ที่ช่วยลดแรงกดทับ เช่น หมอน เจลโฟม ที่นอนลม, เปลี่ยนท่าทุก 2 ชั่วโมง ทาโลชั่นหรือครีมในผู้ป่วยที่มีผิวหนังแห้ง ดูแลผิวหนังไม่ให้เปียกชื้น และกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหว
 ระดับ 2 ผิวหนังส่วนบนหลุดออก ฉีกขาดเป็นแผลตื้น มีรอยแดงบริเวณเนื้อเยื่อ รอบๆ มีอาการปวด บวม แดง ร้อน มีสิ่งขับหลั่งจากแผลปริมาณเล็กน้อย หรือปานกลาง ดูแลเหมือนระดับที่ 1 เพื่อป้องกันไม่ให้มีแผลเพิ่ม เช็ดรอบๆแผลด้วย Alcohol 70 % และใช้silver sulfa diazine ปิดด้วยผ้าก็อส ใช้วาสลีนทาผิวหนังรอบแผลเพื่อปกป้องผิวหนังไม่ให้เกิดการเปียกแฉะ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยา Povidine เช็ดแผล
ระดับ 3 มีการทำลายผิวหนังถึงชั้นไขมัน มีรอยแผลลึกเป็นหลุมโพรง มีสิ่งขับหลั่งออกจากแผลมาก อาจมีกลิ่นเหม็น
  










ระดับ 4 มีการทำลายถึงเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ กระดูก แผลเป็นโพรง มีสิ่งขับหลั่งออกจากแผลมาก มีกลิ่นเหม็น







   ***แผลกดทับระดับที่ 3, 4 ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาเลือกวิธีการ การเลือกใช้วัสดุในการใส่แผลให้ถูกต้อง เหมาะสมในแผลแต่ละชนิด

 สรุป

การป้องกันแผลกดทับเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก โดยการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่ส่งผลกระทบให้เกิดแผล
ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดแผลกดทับตามมาได้ รวมทั้งเมื่อเกิดแผลกดทับขึ้นการดูแลที่เหมาะสม     ตามระดับของแผล ป้องกันไม่ให้แผลลุกลามมากขึ้นการลดแรงกดที่เหมาะสมรวมทั้งการดูแลเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ก็จะทำให้การหายของแผล เป็นไปได้อย่างดี



***ความเห็นส่วนตัวจากผู้เขียน

             จากประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับ " แผลกดทับ " สำหรับผู้เขียนมีบ้างเหมือนกัน ขอแยกออกเป็น 2 ช่วงนะครับ เพราะกิจวัตรประจำวันจะแตกต่างกัน ดังนี้ 

              1.ช่วงที่ผู้เขียนนั่งทำงานบนวีลแชร์ 9 ปีเต็มๆ ปัญหาแผลกดทับแทบไม่มี จะมีก็ประมาณแผลถลอกจากการเสียดสีเคลื่อนไหว ดูแลตัวเอง เริ่มจากเบาะเยล แล้วเปลี่ยนเป็นเบาะลม ผสมกับการยกตัวให้พ้นพื้นรองนั่งบนวีลแชร์บ่อยๆ ให้เลือดและอากาศมันสามารถไหลผ่านตามธรรมชาติของมันได้บ้าง การยกตัวเองของผู้เขียน จะยกตัวเองให้ลอยพ้นพื้นหน่อยเดียวเท่านั้น แต่ยกบ่อยมากจนชิน นั่งไม่เกิน 15 นาทีจะยกก้นหนึ่งครั้งๆ ละเพียงแค่ 5-10 วินาที ไม่ได้ทำตามคำแนะนำจากแพทย์ ทำตามความคิดของตัวเอง คือ ให้เลือดและอากาศมันวิ่งผ่านได้บ้างไม่กดทับมันไว้นานๆ  9 ปีดังกล่าวที่ผ่านมา สภาพร่างกาย ไขมัน ผิวหนัง กล้ามเนื้อ อาจยังคงสมบูรณ์อยู่ ปัญหาการเกิดแผลกดทับจึงไม่เกิดขึ้นจากการกดทับตรงๆ เลยสักครั้งเดียว

               2.ช่วงที่ผู้เขียนลาออกจากงานกลับมาอยู่บ้าน ไม่กี่เดือนเริ่มเป็นแผลกดทับจากการนั่งกดทับ สาเหตุน่าจะมาจาก สภาพร่างกายเริ่มทรุดโทรมและนั่งไม่เป็นเวลา นั่งมากเกินไป ก็เป็นได้ แต่แผลที่เกิดขึ้น ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร เพราะผู้เขียนใส่แพมเพิร์ธตลอด24 ช.ม.มาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เวลาเปลี่ยนแพมเพิร์ธเราก็จะรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับก้นของเรา เมื่อตัวเองรู้ว่าเริ่มเป็นแผล ก็จะดูแลรักษาด้วยตัวเอง ใช้กระจกแบบตั้งและพับได้มานอนตะแคง ทำแผลเอง ใช้น้ำเกลือล้างแผล ขอเน้นว่า "น้ำเกลือสำหรับล้างแผล" มีขายตามร้านขายยาทั่วๆ ไป ส่วนตัวยา ผู้เขียนใช้ยาทาแผลตัวนี้ SOLCOSERYL JELLY10%  20 G หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปเช่นกัน ทำแผลเอง วันละครั้งหลังจากอาบน้ำเสร็จ และหลีกเลี่ยงการนั่งโดยไม่จำเป็น กว่าแผลจะหายสนิทได้ 2-3 เดือน


                 ที่กล่าวมาจะกล่าวถึงอริยาบทในการนั่ง ส่วนเรื่องการนอน ผู้เขียนฝึกตัวเองนอนตะแคงมาโดยตลอดตั้งแต่อุบัติเหตุ ออกจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้าน ไม่เคยนอนหงายนานเกิน15นาทีเลย จะนอนตะแคงพลิกซ้ายที ขวาที ร่างกายมันจะสั่งให้พลิกตัวเองโดยอัตตโนมัติตามที่เราฝึกไว้ 2-3 ช.ม. ก็พลิกตะแคงใหม่ทีนึง

            แผลกดทับ
เป็นของคู่กันกับผู้ป่วยอัมพาตก็จริง แต่เราสามารถดูแลตัวเองได้ ให้เข้าใจถึงสาเหตุที่เกิดแผลก่อน คือ อากาศและเลือดมันไม่สามารถวิ่งผ่านไปได้ตามที่ธรรมชาติสร้างไว้ มันก็เลยทำให้เซลล์ต่างๆ เริ่มตาย จนเกิดแผลกดทับขึ้น สำหรับคนที่ดูแลตัวเองได้ ยกก้นได้ แล้วยังเกิดแผลกดทับอีก นั่นคือ ท่านยังดูแลตัวเองได้ไม่ดีพอ ส่วนท่านที่ไม่สามารถดูแลตัวเองด้วยการยกก้นได้ คงต้องหาตัวช่วยต่างๆ เช่น เบาะลม นะครับ